พิพิธภัณฑ์บ้านเขายี่สาร
วันที่มาถึงครึ่งทาง
(จดหมายข่าวมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์
ฉบับที่ 27 พฤศจิกายน – ธันวาคม
2543)
หลังจากกองทุนเพื่อการลงทุนทางสังคมสนับสนุนเงินทุนในการปรับปรุงอาคารและจัดแสดงนิทรรศการภายใน
พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นที่บ้านยี่สารก็สำเร็จเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนมาตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
การเตรียมการเพื่อเนื้อหาในการจัดแสดงเป็นหน้าที่ของมูลนิธิประไพ วิริยะพันธุ์ ใช้เวลาในการศึกษาข้อมูลนานกว่า
3 ปี
ทั้งนี้เนื้อหาในการจัดแสดงได้จากความร่วมมือระหว่างชาวบ้านและนักวิชาการจากภายนอก
รวบรวม สังเคราะห์และสร้างประวัติศาสตร์ท้องถิ่นยี่สารที่แสดงถึงสภาพแวดล้อม ความหมายของชุมชน ยี่สารในอดีต ปัจจุบัน และการกำหนดอนาคตของตนเองในทิศทางต่างๆ
สิ่งเหล่านี้คือการประกาศให้คนทั่วไปได้รับรู้ถึงความมีตัวตนของคนยี่สารในสังคมภายนอก
ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการรวมตัวอย่างมีประสิทธิภาพของชุมชน
นำไปสู่กระบวนการสร้างชุมชนเข้มแข็งได้อีกทางหนึ่ง
อย่างไรก็ตามนี่คือก้าวแรกในการดำเนินการพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นที่ต้องมีก้าวต่อไป
นั่นคือเป็นภาระหน้าที่ของชุมชนยี่สารที่จะต้องรวมกลุ่มจัดการดูแลและสร้างกิจกรรมต่างๆ
ให้มีความต่อเนื่อง เช่น การจัดการให้เป็นศูนย์กลางการศึกษาของชุมชน การจัดการท่องเที่ยวภายในท้องถิ่น การรวมกลุ่มสร้างงาน
เพื่อผลิตสินค้าอันเป็นผลต่อเนื่องจาการท่องเที่ยว เป็นต้น
ทั้งนี้ต้องใช้ความพยายามและการร่วมมือร่วมใจกันอย่างมาก บทเรียนต่างๆ
ที่ผ่านมาคือสิ่งที่มีค่าของผู้นำชุมชนที่ยี่สาร
ซึ่งกำลังรอการพิสูจน์ว่าการดำเนินงานพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นด้วยกำลังของชุมชนอย่างแท้จริงในอนาคตอันใกล้นี้จะประสบผลสำเร็จหรือไม่
ซึ่งชุมชนยี่สารคาดว่าจะสามารถเปิดให้ชมได้เมื่อมีความพร้อมในราวอีกสองเดือนข้างหน้า
พิพิธภัณฑ์บ้านเขายี่สารเกิดขึ้นจากความต้องการร่วมกันของคนในชุมชน จึงรวบรวมสิ่งของต่างๆ ที่ถูกทิ้งขว้าง
และบางส่วนได้รับการบริจาคจากชาวบ้านมาเก็บรวบรวมไว้ที่ใต้ถุนศาลาการเปรียญที่ได้รับการซ่อมแซมต่อเติมแล้ว
พิพิธภัณฑ์ในปัจจุบันเพิ่มเติมจากชั้นล่างโดยใช้ชั้นบนของอาคารปรับปรุงให้โถงด้านหน้าเป็นที่สำหรับประชุม มีมุมหนังสือ
ของเล่น กิจกรรมสำหรับเด็ก
และในช่วงเข้าพรรษายังใช้เป็นที่พักแรมของคนเฒ่าคนแก่ตามเดิม ส่วนห้องโถงด้านในจัดแสดงเนื้อหาต่างๆ
ดังนั้นพิพิธภัณฑ์บ้านเขายี่สารจึงมีการจัดการออกแบบตามพื้นที่
ซึ่งจำกัดและยังคงหน้าที่การใช้งานหลายประเภทไว้ด้วยกัน การจัดแสดงภายในจึงเรียบง่าย ใช้วัสดุอุปกรณ์ที่ชาวบ้านทำขึ้นเองเป็นหลัก เน้นการนำเสนอเนื้อหาโบราณวัตถุ ภาพ
สิ่งของ แบบจำลองประกอบบ้างบางส่วน
โครงสร้างและบางส่วนของเนื้อหาจากการจัดแสดงนิทรรศการในพิพิธภัณฑ์บ้านเขายี่สาร ตำบลยี่สาร
อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม
1.สภาพภูมิศาสตร์
2.ยี่สารในอดีต
3.การขุดค้นทางโบราณคดี
4.ความเชื่อและพิธีกรรมคุณปู่ศรีราชา
5.วัดเขายี่สารและศิลปกรรมในพุทธศาสนา
6.โพล่
7.ภูมิปัญญาบ้านยี่สาร
‘โอ่ง’
ใครคิดว่าไม่สำคัญ
(จดหมายข่าวมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์
ฉบับที่ 15 พฤศจิกายน – ธันวาคม
2541)
ฝนที่ตกกระหน่ำราวกับฟ้ารั่ว สำหรับคนกรุงเทพฯ
เป็นเรื่องเสียหายและทำลายสุขภาพจิตมากกว่าจะนั่งทอดหุ่ยปล่อยอารมณ์ให้รื่นเริงเย็นฉ่ำเหมือนสายฝน คนเมืองเกลียดฝนเพราะว่าไม่เคยขาดน้ำ เดี๋ยวนี้ไม่มีใครรองน้ำไว้กินไว้ใช้ยามแห้งแล้งอีก
เพราะมีน้ำประปา น้ำดื่ม ใส่ขวดใส่ถังยี่ห้อต่างๆ ให้เลือกซื้อมากมาย
คนเมืองยังจำ
“โอ่ง” กันได้ไหม?
จำได้เมื่อยังเป็นเด็กเล็กๆ
อาศัยอยู่แถวชานเมืองกรุงเทพฯในบ้านที่พ่อกับแม่ใช้ต้นกระถินเป็นรั้ว ปลูกผักสวนครัว กินอยู่อย่างมัธยัสถ์ แม่มีโอ่งหลายใบ โอ่งมังกรจากราชบุรี โอ่งซีเมนต์สีแดงเรียงรายอยู่ตามพื้นรอบชายคาเวลาหน้าฝนคือมหกรรมการรองน้ำเอาไว้ใช้ดื่ม ต้องพิถีพิถันล้างโอ่งให้สะอาดที่สุด ใช้ผ้ากรองและปิดฝาให้มิดชิด พวกเรากล้าดื่มเพราะแทบจะไม่รู้จักว่าควันพิษคืออะไร
น้ำฝนชื่นใจและหวานอร่อยเก็บไว้ดื่มได้ทั้งปี ถ้าไม่จำเป็นแม่จะไม่ยอมดื่มน้ำประปาเลย แม่เป็นคนแข็งแรงและชอบวิ่งวุ่นเวลาฝนตก และถ้าตกมากๆ
พวกเราก็จะได้รับอนุญาตให้เล่นน้ำฝนพร้อมกับช่วยแม่รองน้ำเก็บไว้ใช้ด้วย ความเป็นจริงเหล่านั้นถูกทำลายไปหมดแล้ว เหลือเพียงความทรงจำและยังรู้สึกดีๆ
เมื่ออยู่ในกรุงเทพฯยามฝนตกได้ไปช่วยงานพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นที่บ้านยี่สารทำให้ความทรงจำในวัยเยาว์เด่นชัดขึ้นมาอีก
แต่ครั้งนี้จัดหมวดหมู่ความคิดเพิ่มเติมความเข้าใจเรื่องของสภาพแวดล้อมกับการปรับตัวของมนุษย์ที่พยายามต่อสู้เพื่ออยู่อาศัยในสถานที่ที่นับว่าอยู่ยากแห่งหนึ่งไว้ด้วย
บ้านยี่สารทำให้เรารู้จักชีวิตผู้คนที่ผูกพันอยู่กับฝนฟ้า
ภาชนะใส่น้ำขนาดใหญ่ที่ต้องรองน้ำไว้กินให้ได้ตลอดปียากลำบากกว่าอีสานที่เขาว่าแล้งกันมากนักเพราะยี่สารอยู่ในบริเวณที่เป็นป่าชายเลน มีคลองล้อมรอบอยู่ทุกทิศ เป็นคลองที่ใช้เพื่อการคมนาคมและเป็นแหล่งอาหาร
เช่น กุ้ง หอย ปู ปลา
ที่อุดมสมบูรณ์แต่ต้องแลกกับการเป็นคลองน้ำกร่อย ใช้ดื่มกินไม่ได้เลย ชาวบ้านต้องปั้นโอ่งไว้ใช้กันบ้านละ 30-40 ใบ เรียงเป็นตับอยู่ตามพื้นบ้าน
เป็นที่สะดุดตาสำหรับคนต่างถิ่นที่ไม่รู้จักอิทธิฤทธิ์ของน้ำกร่อย
และเห็นเป็นเรื่องแปลก ในขณะที่ชาวบ้านยี่สารว่าเรื่องธรรมดา
เป็นความธรรมดาในความยากลำบากอย่างยิ่ง
ที่ยี่สารชาวบ้านจะเรียก
“โอ่ง” หรือ “ตุ่ม”
ใส่น้ำขนาดใหญ่ว่า “โพล่” ไม่รู้ว่ามีรากเหง้าความเป็นมาอย่างไรจึงเรียกเช่นนี้ ต้องศึกษาสืบค้นกันต่อไป เมื่อเวลาฝนมาคนยี่สารจะเตรียมตัวกันคึกคัก
ฝนแรกและฝนสองจะใช้ล้างหลังคาชะล้างสิ่งสกปรกออกไปก่อน
ฝนสามฝนสี่อาจจะใช้ล้างโพล่ให้สะอาดเตรียมไว้ใช้รองน้ำ ที่นี้ก็ถึงคราวเก็บน้ำไว้ใช้ เก็บไว้ดื่มชุดหนึ่ง เก็บไว้ใช้อาบด้วย เวลาฝนตกมักเห็นการรองน้ำไปพร้อมๆ
กับการอาบน้ำฝน คนอาบน้ำฝนท่าทางสดชื่นจนไม่นึกว่าการอาบน้ำจะทำให้คนเรามีความสุขได้ขนาดนี้
เพราะน้ำใช้ที่บ้านยี่สารมีไม่พอต่อการใช้งานทั้งปี ดังนั้นจึงมีการไป “ล่มน้ำ”
ที่แม่น้ำเพชร
ใช้เรือขนาดใหญ่เข้าคลองเล็กๆ
ไปล่มน้ำ
นั่นคือการเอียงเรือให้น้ำไหลเข้า
แต่ปัจจุบันเปลี่ยนมาใช้เครื่องสูบน้ำแต่ก็ยังเรียกว่าล่มน้ำอยู่
ชาวบ้านใช้น้ำจากแม่น้ำเพชรมาอาบใช้ต้องซื้อหากันสนนราคาคิดเป็นโอ่ง ที่ยี่สารยังไม่มีน้ำประปา การทำประปาหมู่บ้านก็ขุดไม่เจอน้ำจืดเลย
และการต่อน้ำประปาจากเมืองแม่กลองมาใช้ก็ไกลเกินฝัน ชาวบ้านจึงต้องต่อสู้ดิ้นรนกันเอง
โอ่งที่บ้านยี่สารจึงมีความสำคัญต่อชีวิตของทุกคน
ไม่มีบ้านใดที่ไม่มีโอ่งสภาพแวดล้อมแบบนี้ต้องกักเก็บน้ำไว้ใช้ เป็นการวางแผนระยะยาวปีต่อปี
การขุดค้นที่เชิงเขาวัดเขายี่สารซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยโบราณ
จำนวนเกือบครึ่งของเศษภาชนะที่พบเป็นโอ่งใส่น้ำเนื้อแกร่งและหม้อใส่น้ำขนาดใหญ่ตั้งแต่ระยะการอยู่อาศัยชั้นแรกๆ ที่เราพบเศษโอ่งจากเตาบางปูน ริมแม่น้ำสุพรรณบุรี ที่มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 19-20 และที่น่าประหลาดใจก็คือยังมีโอ่งชนิดเต็มใบจากเตาบางปูนเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์บ้านยี่สาร
ได้รับบริจาคมาจากคุณยายท่านหนึ่งที่ใช้โอ่งใบนี่ใส่น้ำมาตลอด
ใต้ถุนหอไตรของวัดเขายี่สารยังมีโอ่งขนาดใหญ่มากๆ เก็บไว้อยู่หลายใบ เป็นโอ่งเคลือบสีน้ำตาลไหม้ เนื้อแกร่ง
ผู้คนส่วนหนึ่งเรียกกันว่า “ตุ่มสุโขทัย”
แต่เราก็ยังไม่พบหลักฐานว่ามีการผลิตโอ่งขนาดใหญ่แบบนี้ในแหล่งเตาในเมืองไทย
หลักฐานทางโบราณคดีจากการขุดค้นก็พบว่ามีเศษภาชนะรูปแบบเช่นนี้ปะปนอยู่ในระยะตั้งแต่พุทธศตวรรษที่
20-21 ลงมา และน่านำเข้ามาจากที่อื่น เช่น จีน
มากกว่าที่จะผลิตในพื้นที่ประเทศไทย โอ่งจึงเป็นภาชนะใส่น้ำที่สำคัญต่อชีวิตของผู้คนในป่าชายเลนมาตั้งแต่โบราณ เป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้กับธรรมชาติ โดยไม่ได้ปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อม แต่เป็นการปรับตัวเพื่อให้กลมกลืน ใช้น้ำฝนน้ำฟ้าให้ได้ประโยชน์ถึง ที่สุด
สิ่งที่แม่สอนเมื่อยังเป็นเด็กให้ใช้น้ำอย่างประหยัดแว่วเข้าหู
เมื่อมาขออยู่ขอนอนที่บ้านเขายี่สารเพราะน้ำจืดที่นี้มีค่าเหลือเกิน ก่อนจะค่อยๆ
ใช้ขันตักน้ำราดรดร่างกาย
อย่างน้อยแม่คงดีใจที่ลูกสาวไม่ทำให้เสียหน้า
ที่มาวีดีโอ : https://www.youtube.com/watch?v=mm0QR1v1Akw
ที่มารูปภาพ : http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=djang67&group=8
บรรณานุกรม
ภาษาไทย
กรมศิลปากร. โคลงนิราศนรินทร์. พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพ นางเพ็ญแข
พิทักษ์มนูศาสตร์, 2512.
------. โคลงนิราศพระพิพิธสาลี. กรุงเทพฯ
:
กองวรรณกรรมและประวัติศาสตร์, 2542.
------. ชีวิตและงานของสุนทรภู่ กรุงเทพฯ
: องค์การค้าของคุรุสภา,
2520.
โคลงนิราศพระยาตรังวรรณกรรมพระยาตรัง. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ศิลปบรรณาคาร,
2515.
ธนัญญา ทองซ้อนกลีบ,
แปล. รวมเรื่องแปลและเอกสารทางประวัติศาสตร์ชุดที่
1.
กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, 2539.
นิราศเกาะจาน รวมวรรณกรรมของสุนทรภู่, พระนคร : ศิลปบรรณาคาร, 2513.
พ.ณ ประมวญมารค.
กำสรวลศรีปราชญ์-นิราศนรินทร์. กรุงเทพฯ : แพร่พิทยา, 2515.
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมพระยาดำรงราชานุภาพ. จดหมายเหตุระยะทางเสนาบดี
กระทรวงมหาดไทยเสด็จตรวจราชการหัวเมืองใน ร.ศ. 117, 119. พิมพ์ครั้งที่ 2. ในงานทำบุญอายุครบ
60 ปี ของพระสุเทพสุเมธี, 2515.
ภาษาต่างประเทศ
Kaempfer. Engelbert.
A Description of the Kingdom
of Siam 1690.
White Lotus Press, 1987.
Smyth
Warrington, Herbert. Five Years in
Siam from 1891-1896 Vol. 1-2. White
Lotus, 1994.